จากประสบการณ์ของผมพบว่า เวลาลูกค้าเข้ามาส่วนใหญ่จะขอจดทะเบียนบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนและให้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผมจะสอบถามลักษณะธุรกิจ เช่น ถ้าซื้อมาขายไป ผมก็จะถามว่าสินค้าที่ซื้อมาขาย มีบิลVAT หรือไม่ แล้วเวลาขายลูกค้าต้องการบิลVAT หรือเปล่า เพราะว่าถ้ากิจการลูกค้า จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ทุกครั้งที่ขาย ต้องเปิดใบกำกับภาษี ซึ่งกรมสรรพากร ระบุให้ระบุชื่อลุกค้า และที่อยู่ให้ถูกต้องทุกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี มิฉะนั้นจะโดนค่าปรับเมื่อตรวจพบสุงสุดใบละ 2,000 บาทต่อรายการ ครับ
ตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพเช่น ถ้าขายของหน้าร้านทางอินเตอร์เนท ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าไม่ต้องการใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกบภาษี แต่เราต้องการออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ต้องไปสอบถามชื่อที่อยู่กับลูกค้าเพื่อทำให้ถูกต้องตามกรมสรรพากรก็กลายเป็นภาระกับทั้งลูกค้าและกิจการของเรา นอกจากนั้นโดยไปซื้อของจากร้านค้ามาขายก้ต้องไปขอใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี เพื่อนำมาลดภาระต้นทุนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้า้ร้านค้าที่เราไปซื้อไม่สามารถออกใบกำกับภาษีให้ได้ เราก็จะมีปัญหาทางภาษีกับกรมสรรพากร
ผมก็จะแนะนำว่าน่าจะใช้รูปแบบธุรกิจ บุคคลธรรมดากรณีทำคนเดียว หรือถ้าทำกับเพื่อนเป็นงานอดิเรก เนื่องจากมีงานประจำก็แนะนำ ในรูปแบบ ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน จุดเด่นในรูปแแบบนี้คือเวลาเสียภาษีเหมาจากรายรับ ถ้้ารายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ก็ไม่ต้องออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกบภาษี บิลเวลาซื้อของก็ใช้เหมาต้นทุน ร้อยละ 80 ครับ
แต่ถ้าเราขายวัสดุสำนักงานทางอินเตอร์เนท ให้กับลูกค้าที่เป็นบริษัท แล้วของที่เราซื้อมาก็มีใบกำกับภาษีอยู่แล้ว ผมก็จะแนะนำให้จดทะเบียนบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วน และจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อสามารถประหยัดต้นทุนภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม ครับ
กรณีสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ สำนักงานทำบัญชีปากเกร็ด โทร 02-575-3007
กรณีสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ สำนักงานทำบัญชีปากเกร็ด โทร 02-575-3007
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น